พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เสียสละเวลามาตอบกระทู้ถามแยกเฉพาะเรื่องการก่อสร้างอุโมงค์ลอดใต้แยกรัชดา-ราชพฤกษ์ โดยได้ชี้แจงและให้ข้อมูลมาว่า การสร้างทางลอดอุโมงค์ในกรุงเทพมหานคร เกิดจากความไม่ต้องการมีจุดตัดเพื่อลดปัญหาการจราจรที่หนาแน่น ทั้งนี้ก็ได้มีความพยายามแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในช่วงระยะการก่อสร้าง ได้แก่ การติดกล้องวงจรปิดและป้ายแนะนำเส้นทางเพื่ออำนวยการจราจร มีทีมงานแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เช่น ซ่อมผิวถนน หลีกเลี่ยงการทำงานที่ต้องใช้รถบรรทุกในช่วงเวลาที่การจราจรติดขัด
ส่วนปัญหาเรื่องการก่อสร้างที่ใช้ระยะเวลายาวนานนั้น ท่านรัฐมนตรีได้ให้คำตอบว่าเป็นปัญหาทางกฎหมายในเรื่องสัญญาการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งท่านก็เห็นด้วยว่าควรจะมีการแก้ไขกฎหมายเหล่านี้
จากที่ได้ฟังเหตุผลและที่มาที่ไปของปัญหา ผมต้องบอกเลยว่าผมเข้าใจและเห็นใจท่าน และต้องขอบคุณท่านรัฐมนตรีที่เสียสละเวลามาชี้แจงและให้ข้อมูลกับพี่น้องประชาชน อย่างไรก็ตาม ผมก็ได้ทำหน้าที่ฝากปัญหาของพี่น้องประชาชนในพื้นที่เขตผมให้ท่านช่วยเร่งดำเนินการตามแนวทางที่ว่ามานี้ และกวดขันเจ้าหน้าที่ข้าราชการที่เกี่ยวข้องอย่างจริงๆจังๆ ครับ

วันนี้ผมเป็นตัวแทนประชาชนเขต #คลองสาน มายื่นหนังสือร้องเรียนเรื่อง ผลกระทบจากการสร้างรถไฟฟ้า #สายสีทอง กับท่าน #นายก ในพิธีเปิด #MRT ท่าพระ เเต่เข้าไม่ถึงท่าน ทางเจ้าหน้าที่ขอให้ยื่นกับท่านเลขาเเทน สาเหตุที่ต้องไปยื่นกับท่านนายกเนื่องจากผมปรึกษาหารือเเละยื่นกระทู้ถามในสภาไปเเล้ว แต่เรื่องยังไม่ได้รับการจัดการใด ๆ ล่าสุดมีโอกาสคุยกับผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ท่านอัศวิน ขวัญเมือง ท่านได้สั่งการให้ผู้อำนวยการเขตคลองสานสั่งลุยเเล้วครับ

ผมได้มาตรวจสอบบริเวณดังกล่าว สารวัตรจราจร สน.ท่าพระให้ข้อมูลว่า ตอนนี้ทางเขตระงับการก่อสร้างเเล้ว เร่งให้ชิโนไทย ผู้รับเหมาสร้างทางเท้าพร้อมทางลาดวีลแชร์ตรงบริเวณที่ผมยืนอยู่ ขนาดกว้าง 1.6 เมตร เดินอ้อมข้างหน้าป้อมได้ครับ
ผมไปตรวจสอบเพิ่มเติมกับสำนักโยธา เขตบางกอกใหญ่ต่อได้ความว่า มีการอนุญาตให้สร้างป้อมบริเวณนี้ตามประกาศ กทม.เดิม ตอนนี้กำลังประสานกันอยู่ว่าเเบบการก่อสร้างถูกต้องหรือไม่ ต้องชื่นชมเจ้าหน้าที่กทม.ประสานงานอย่างรวดเร็ว ไม่ได้นิ่งดูดายเเต่อย่างใด

เช้าวันอังคารที่ 18 พฤษภาคม 2564 ผมได้ไปประชุมไกล่เกลี่ยปัญหาการสร้างคอนโดเเถวซอยวุฒากาศ 5 เขตธนบุรี กับทีมงาน สุประวีณ์ น้อยสุขยิ่ง - Supawee Noisukying ซึ่งเรื่องนี้ผู้เสียหายได้เเจ้งมาในเพจเเละเคยลงพื้นที่ไปคุยสอบถามหลายครั้งเเล้ว
วันนี้เป็นการนัดคุยระหว่างเจ้าของโครงการเเละชาวบ้านผู้เสียหายหนักจากปัญหาบ้านทรุด บ้านร้าวเพราะการสร้างคอนโด จำนวน 5 หลังคาเรือน เพื่อหาทางออก ซ่อมเเซม เยียวยาให้เป็นอย่างเดิม ซึ่งชาวบ้านได้ต่อสู้เรียกร้องมานาน ส่งเรื่องไปยังหน่วยงานต่าง ๆ จนถึงรองผู้ว่า ฯ กทม. เเละผู้อำนวยการเขตธนบุรีได้ลงพื้นที่มาเจรจาด้วยวันนี้
หลังจากที่ผมได้พูดคุยกับผู้เสียหายก็ได้ธงในการเจรจาว่า ชาวบ้านต้องการให้ส.ส.แจ้งให้ทางโครงการมาซ่อมบ้านให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมพอ ไม่เรียกร้องค่าเสียหายอะไรเพิ่มเติมเเล้ว ตอนนี้อาม่าที่อยู่ก็นอนไม่หลับ เพราะเเกรักบ้านหลังนี้มาก เเละกลัวว่านอน ๆ อยู่บ้านจะถล่มลงมาเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ
การเจรจาค่อนข้างตึงทั้งสองฝ่าย เพราะทางเจ้าของโครงการได้ให้ข้อมูลว่า บริษัทประกันภัยที่ทำประกันค่าเสียหายไว้ตรวจสอบเเล้วว่าไม่ใช่ความผิดของทางคอนโด เเละได้มีข้อเสนอโดยจะจ่ายให้บ้านละ 50,000 บาท รวม 5 หลังเป็นจำนวนเงิน 200,000 บาท ซึ่งถือเป็น "น้ำใจจาก CSR" เเต่ด้วยข้อเท็จจริงที่ชาวบ้านเคยประเมินค่าซ่อมคือ 4,000,000 บาท จึงเป็นจำนวนที่ไม่อาจรับได้สำหรับผู้เสียหาย เหมือนบีบบังคับให้ต้องไปพิสูจน์หาคนรับผิดชอบ ซึ่งการจ้างผู้เชี่ยวชาญมาพิสูจน์ก็เสียเงินหลักล้าน หรือจะให้ฟ้องศาล ค่าทนายเเละระยะเวลาที่นาน คงไม่เป็นผลดีของผู้เสียหายเเละบ้านที่ร้าวของพวกเขาอย่างเเน่นอน
ทั้งผม รองผู้ว่าเเละผู้อำนวยการเขตได้ขอร้องให้ทางคอนโดคุยกับผู้บริหารใหม่ ทำให้ต้องมีการเจรจาครั้งหน้าอีกครั้งจึงจะได้ข้อสรุป ชาวบ้านผู้เสียหายจึงค่อนข้างผิดหวังเพราะคิดว่าจะจบในวันนี้
เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งเเรกเเต่เกิดขึ้นบ่อยจากการพัฒนาในเขตพื้นที่ผม ซึ่งเป็นปัญหาของเมืองเเบบคลาสสิคใหม่ (Neo Classic) ที่เเตกต่างจากสมัยก่อนที่ไม่ใช่แค่เรื่องของคนจนเมืองที่ขาดทุนทรัพย์ ขาดสิทธิเท่าเทียมกันในสังคมที่เป็นปัญหามาอย่างยาวนาน หากเเต่เป็นการกระทบกระทั่งกันของคนในทุกระดับชั้นที่มีความเท่าเทียมกันของสิทธิ เเต่อาจมีสถานะในห่วงเวลานั้นที่เเตกต่างกัน
ในส่วนของผมที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติก็หวังจะเเก้กฎหมายเพื่อปิดช่องว่าง จัดรูปเเบบความสัมพันธ์ของนายทุนเเละประชาชนให้มีความเท่าเทียมมากขึ้น เพราะสุดท้ายเเล้วจากกรณีนี้ต้องอย่าลืมว่า ทั้งทางเจ้าของคอนโดเเละผู้เสียหายก็ต่างเป็นประชาชนเหมือนกัน ทุกคนสมควรได้รับความ "ยุติธรรม" ไม่ควรมีใครต้องเล่นบท "เหยื่อ" หรือใครต้องตกเป็น "ผู้ร้าย"

หลังจากที่ได้รับข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีทองว่ารบกวนความเป็นอยู่ของชาวบ้านในบริเวณนั้นมาค่อนข้างมาก ผมก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ก่อนหน้านี้ได้นำเรื่องเข้ายังที่ประชุมประจำเดือนเขตคลองสาน แต่ได้รับคำตอบว่า การก่อสร้างได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างในช่วงกลางคืนเพื่อเร่งรัดให้เสร็จโดยเร็ว แต่ก็มีบางครอบครัวที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก เขียนจดหมายร้องเรียนมาถึงผม
เมื่อวานนี้ผมได้เข้าไปพบครอบครัวผู้เสียหายและได้อยู่ตรวจสอบที่เกิดเหตุถึงเวลา 1.00 น. พบว่า
1. บริเวณนั้นมีครอบครัวที่ได้รับความเสียหายอยู่ 3 ครอบครัว โดยครอบครัวที่แจ้งผมมานั้นประกอบไปด้วยผู้สูงอายุ 2 ท่าน ผู้ใหญ่วัยทำงาน 3 ท่าน และเด็กวัยเรียน 2 ท่าน ทั้งหมดประสบกับปัญหานอนไม่หลับเนื่องจากการก่อสร้างเสียงดัง เจ็บป่วย ได้รับฝุ่นผงจากการก่อสร้าง การเดินทางเข้าบ้านที่ยากลำบาก โดยก่อนหน้านี้ได้แจ้งไปยังบริษัทรับเหมาก่อสร้างโดยตรง ซึ่งทางบริษัทสัญญาว่าจะชดเชยค่าเสียหายให้ แต่เวลาล่วงมาเป็นเดือนก็ยังไร้วี่แวว จึงติดต่อผมเพื่อขอความช่วยเหลือ
2. รถบรรทุกการก่อสร้างจะเข้ามาบริเวณไซต์งานได้เวลา 23.00 น. เนื่องจากต้องรอให้ทางห้างนำรถออกหมดตอน 22.30 น.
เป็นความโชคดีอย่างหนึ่งที่เมื่อวานมีสำนักข่าวมาถ่ายสกู๊ปการทำงานของผม จึงได้สัมภาษณ์ผู้เสียหาย โดยตรง นอกจากนี้ผมยังได้พาผู้สื่อข่าวไปยังการก่อสร้างคอนโดที่มีกรณีพิพาทกับชาวบ้าน ซึ่งเขตธนบุรี คลองสาน บางกอกใหญ่ประสบปัญหานี้ค่อนข้างมากเนื่องจากการขยายตัวของเมือง ผมยืนยันว่า ความเจริญควรเข้าถึงทุกคน แต่ต้องไม่เป็นปัญหากับท้องถิ่น ซึ่งเรื่องนี้ต้องหาทางแก้ไขกันต่อไป แต่ก็หวังว่าสื่อจะมีส่วนช่วยในการกดดันให้เกิดความถูกต้องในสังคมครับ

ผมลงพื้นที่ ซ.คริสตจักร จรัญสนิทวงศ์ ซ.1 ส่วนวันอาทิตย์ ลงพื้นที่ท่าดินแดงในตอนเช้า และ ซ.สมเด็จเจ้าพระยา 7 ในช่วงบ่าย เเม้จะอยู่ต่างที่เเต่ปัญหาคือประเด็นเดียวกัน
การขยายตัวความเจริญเป็นสิ่งที่ประชาชนในเขตผมกำลังเผชิญ บางโครงการดำเนินเสร็จเเล้วมีผลกระทบทั้งทางโครงสร้างบ้านและอาคารโดยรอบ ตึกร้าว ดินทรุด น้ำท่วมระบายไม่ทัน เพราะท่อระบายน้ำไม่ได้ทำมารองรับคนจำนวนมากเท่านี้ ดังที่มีตัวอย่างให้เห็นในชุมชนสองร้อยห้องที่ผมได้แวะไปเยี่ยมเยียนมาเมื่อเดือนก่อน หลายโครงการที่กำลังก่อสร้างอยู่ก็มีปัญหาเรื่องฝุ่น เสียงดัง อีกทั้งบางครั้งของก็ร่วงหล่นจากตึก ทำให้หลายโครงการที่กำลังทำ EIA อยู่ ถูกคัดค้านจากชาวบ้านเพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุซ้ำรอยเดิมอีก
ผมเคยถามประชาชนได้ความว่า บริษัทที่รับจ้างทำ EIA ได้มาถามประชาชนว่าการก่อสร้างส่งผลกระทบไหม เเล้วให้เซ็นเอกสารไว้ตั้งเเต่ยังไม่เริ่มการก่อสร้างว่า "ไม่มีผลกระทบ"
ผมไม่ได้ต่อต้านความเจริญนะครับ เเม้ว่าการได้พูดคุยเเละสัมผัสความทุกข์กับคนที่อาศัยอยู่แถวนี้ก่อนตึกสูงจะเข้ามาทำให้บ้านร้าวเเละเอียง ความรู้สึกที่ไม่รู้วันไหนบ้านจะถล่ม ต้องเสียสุขภาพกายสุขภาพจิตมากังวล เพียงแต่ปัญหานี้ต้องได้รับการแก้ไข อย่างแรกคือการกำชับกระบวนการทำ EIA ให้โปร่งใสที่สุดเเละให้ความรู้กับประชาชนเรื่องสิทธิต่าง ๆ ผมจะขอปรึกษาหารือกับท่านประธานสภาในสภาสัปดาห์นี้เพื่อให้ทำหนังสือแจ้งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยกวดขันให้มากขึ้นครับ ผมว่าปัญหานี้เกิดขึ้นหลายที่เเละเราไม่มีทางรู้ว่าจะเป็นคิวบ้านตัวเองเมื่อไหร่

ผมลงพื้นที่ไปดูปัญหาก่อสร้างอาคารสูงใกล้ชุมชนวัดเศวตฉัตร เขต #คลองสาน
พบมีสิ่งของตกหล่นจากการก่อสร้างอาคาร ร่วงลงมายังบ้านเรือนของประชาชนด้านล่าง อาทิ เช่น เหล็กเส้นยาวเท่าแขนที่ทะลุหลังคาลงมา
ผมได้ประสานฝ่ายโยธาสำนักงานเขตเข้าตรวจสอบ เบื้องต้นมีการสั่งระงับการก่อสร้างชั่วคราว
และผมได้นำเหล็กเส้นดังกล่าวมาโชว์ในสภาถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ จากการทำ EIA ที่ไม่รัดกุม